“Say Lalisa love me, Lalisa love me”
ประโยคนี้ดังขึ้นเมื่อไร เราเชื่อว่าหลายคนในตอนนี้คงอดใจไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมาออกลีลา ทำสัญลักษณ์นิ้วพร้อมกับโยกตามแรงๆ หนึ่งที…
นี่คือปรากฏการณ์ของศิลปิน K-Pop หญิงที่กุมสัญชาติไทยและโด่งดังไกลใน Scale ระดับโลกที่ชื่อว่า ลลิษา มโนบาล เราเริ่มต้นรู้จักเธอจากในฐานะของการเป็นหนึ่งในสมาชิกวง Girl Group ที่ประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างอย่าง BLACKPINK และครั้งนี้ก็เป็นการออกผลงานที่พิสูจน์ฝีมือของลิซ่าในบทบาทของศิลปินเดี่ยวเป็นครั้งแรก ซึ่งหลังจากที่ Single แรกที่ใช้ชื่อตามตัวเธอว่า “LALISA” ถูกปล่อยออกมาในวันที่ 10 กันยายน 2021 ลิซ่าก็ได้ทุบสถิติหลายรายการ อย่างเช่นการขึ้นแท่นเป็นศิลปินหญิงคนแรกในเกาหลีที่มียอดขายอัลบั้มทะลุ 730,000 แผ่นภายในอาทิตย์แรก (แซงหน้าสถิติที่ BLACKPINK เคยทำไว้ได้ 690,000 แผ่น) แถมยังสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับ YouTube โดยการมียอดวิวมากที่สุดถึง 73.6 ล้านวิวภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังการปล่อย Music Video เพลง LALISA แซงหน้ารุ่นพี่อย่าง Taylor Swift ที่เคยทำสถิติไว้ได้จากเพลง ME! อยู่ที่ 65.2 ล้านวิว
ทั้งหมดนี้พาเอาความภาคภูมิใจมาให้กับแฟนๆ ทั่วโลกที่คอยเป็นกำลังใจให้กับลิซ่า และแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาจาก Lisa’s Effect ไม่ได้หยุดอยู่ที่การ Break Records ต่างๆ อย่างแน่นอน ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไป Explore โลกหลังจากที่ลิซ่าปล่อยผลงานเดี่ยวออกมาแล้วว่าจะเกิดปรากฏการณ์อะไรต่อไปอีกบ้าง
หยิบชิ้นไหน ขาดตลาดชิ้นนั้น
เป็นเรื่องปกติที่เวลามีคนดังสักคนหยิบจับไอเทมอะไรสักอย่าง บรรดาแฟนคลับก็จะพากันไปอุดหนุนแบรนด์นั้นอย่างถล่มทลาย กับลิซ่าก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กระเป๋าที่เธอใช้ ก็มี Demand จากตลาดที่พุ่งกระฉูดจนบางครั้งสินค้าเหล่านั้นก็ขาดตลาดไปเป็นพักใหญ่ และบางครั้งก็ทำให้มูลค่าของไอเทมนั้นพุ่งสูงขึ้นด้วย ตัวอย่างล่าสุดก็อย่างเช่นพวกรัดเกล้ายอดและชฎาที่ขายดีเทน้ำเทท่าจนแม่ค้าที่สำเพ็งงง หรือจากอีกฉากหนึ่งในเพลง LALISA ที่มีมอเตอร์ไซค์ของ Ducati รุ่น Panigale V4S มาปรากฏตัวอยู่ ก็ทำให้ Big Bike รุ่นนี้เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนนอกวงการนักขี่มากยิ่งขึ้น แถมยังช่วย Boost ยอดจองคึกคักสุดๆ ไปเลยด้วย
กำหนดทิศทางของ Content Trend
อิทธิพลของลิซ่าไม่ได้มีแค่ต่อตลาดสินค้าเพียงเท่านั้น แต่สำหรับวงการ Content เธอคือหนึ่งในผู้ Set Trend ที่ช่วยกำหนดทิศทางของสิ่งที่คนจะเอาไปเล่นกันต่อในด้านต่างๆ เหล่านี้ หนึ่งในตัวอย่างที่เราเห็นกันบ่อยที่สุดบน Social Media ช่วงนี้ก็คือ Content ของเหล่าคนดังที่ลุกขึ้นมาแต่งตัว Cover เป็น Look ต่างๆ ของลิซ่าจากใน Music Video หรือ Meme ที่แบรนด์ดังหยิบเอาองค์ประกอบของเพลง LALISA มาเป็นแรงบันดาลใจในการทำ Real Time Marketing เลยทำให้ได้เห็นการประชันไอเดียสนุกสนานในโลก Content ที่ตั้งต้นมาจากเพลงของเธอไปด้วย
Side Story เสริมความปัง
ไม่ใช่แค่กระแสทางตรงเพียงอย่างเดียว แต่ Side Story หรือหลากหลายเรื่องราวที่น่าสนใจขององค์ประกอบในเพลง LALISA รวมไปถึง Side Story ของตัวลิซ่าเองก็ทำให้เกิด Trend หรือปรากฏการณ์ความปังแบบอ้อมๆ ด้วยเช่นกัน อย่างปราสาทหินพนมรุ้งที่ถูกใช้เป็นหนึ่งในฉากหลังของตัว MV หลังจากที่ On Air ไปก็ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวที่ผลัดกันมาเที่ยวชมตัวโบราณสถานนี้เพิ่มขึ้นถึง 50%
จากในข่าวของ Manager Online รายงานว่าเจ้าหน้าที่อุทยานเผยสถิติผู้เข้าชมที่ปกติเหลือแค่วันละ 100-200 คนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่หลังจากที่เพลงของลิซ่าออกมาก็ทำให้การท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง ยอดเข้าชมเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 300-400 ราย และเหตุผลที่ทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาที่นี่ก็เพราะพวกเขาอยากมาเห็นฉากที่เป็นต้นแบบของ MV ของลิซ่า
อีกหนึ่งปรากฏการณ์จาก Side Story ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือความบูมของร้าน “ลูกชิ้นยืนกิน” หรือร้านขายลูกชิ้นหน้าสถานีรถไฟบุรีรัมย์ที่สาวลิซ่าได้กล่าวถึงในรายการ WOODY ว่าเธอคิดถึงและอยากกินเมนูนี้มากๆ แค่ประโยคเดียวจากลิซ่าก็ทำให้มีคนกล่าวถึง Keyword “ลูกชิ้นยืนกิน” บน Platform Social Media ต่างๆ มากถึง 8,900,119 Engagements มีการจัดเทศกาลลูกชิ้นยืนกินที่บุรีรัมย์ อำนวยความสะดวกโดยบริษัทรถบัสและการรถไฟที่เพิ่มเที่ยวไป-กลับระหว่างบุรีรัมย์และจังหวัดข้างคัยว รวมไปถึงเงินรายได้ที่ทำยอดขายรวมกันได้ทะลุวันละล้าน แบบนี้แหละที่เค้าเรียกว่า Star Power ของจริง!
ไม่ใช่แค่การทุบสถิติในวงการดนตรีหรือการ Set Trend ใหม่ในโลก Social เท่านั้น แต่ Case Study ของ MV LALISA คือหนึ่งในกรณีศึกษาที่ทำให้เราเห็นว่าผลพลอยได้จากการปล่อยเพลงแค่เพลงเดียว สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพกว้างได้มากแค่ไหน